โครงสร้างการทางานของร่างกายมนุษย์
ในการศึกษาทางจิตวิทยา
จาเป็นอย่างยิ่งที่จะทาความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งการที่มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมใด
ๆ ออกมานั้นเป็นเพราะระบบการทางานของร่างกาย ไม่ว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ทาการศึกษาค้นคว้ามาเป็นระยะเวลายาวนานต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่าร่างกายมนุษย์
สัตว์ หรือพืชทั้งหลายจะมีโครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจนกระทั่งถึงส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุด
แต่ละส่วนจะมีการทางานที่สัมพันธ์กัน โดยไม่มีส่วนใดที่สามารถทางานอย่างอิสระยกเว้นเม็ดเลือด
โดยประมาณได้ว่า
75 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายผู้ใหญ่ประกอบด้วยน้า
ส่วนที่เหลือเป็นสารประกอบทางเคมี สารประกอบเหล่านี้รวมตัวกันเป็นเซลล์ หลายร้อยชนิด
ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของร่างกาย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนพื้นโลก
โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ 80 – 100 ล้านล้านเซลล์แต่ละชุดจะถูกกำหนดให้มีการเจริญเติบโตและทาหน้าที่เฉพาะ
โดยเซลล์ชนิดเดียวกันจะรวมตัวเป็นเนื้อเยื่อ (tissues) เนื้อเยื่อหลาย
ๆ ประเภทเมื่อมาทางานร่วมกัน เรียกว่าอวัยวะ (organ) แต่ละอวัยวะเมื่อทางานร่วมกันเรียกว่าระบบ
(system) ดังนั้น เมื่อเซลล์มารวมกลุ่มเป็นเนื้อเยื่อพิเศษ เช่น กล้ามเนื้อ
เส้นประสาท กระดูก ฯลฯ เนื้อเยื่อเหล่านี้จะทางานร่วมกันเป็นอวัยวะและในที่สุดอวัยวะเหล่านี้จะถูกจัดสรรเป็นระบบต่าง
ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ระบบต่อมต่าง ๆ และระบบประสาท เป็นต้นระบบต่าง ๆ
ในร่างกายระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการทางานที่สัมพันธ์กันเพื่อให้มนุษย์สามารถดารงชีวิตได้อย่างปกติ
การทางานของระบบภายในร่างกาย
1.ระบบย่อยอาหาร
อาหารประเภทต่างๆที่เราบริโภคโดยเฉพาะสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
คือคาร์โบไฮเดรตโปรตีนและไขมันล้วนแต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะลาเลียงเข้าสู่เซลล์ส่วนต่างๆของร่างกายได้
ยกเว้นวิตามินและเกลือแร่ซึ่งมีอนุภาคขนาดเล็กจึงจาเป็นต้องมีอวัยวะและกลไกการทางานต่างๆที่จะทาให้โมเลกุลของสารอาหาร
เหล่านั้นมีขนาดเล็กลงจนสามารถลาเลียงเข้าสู่เซลล์ได้ เรียกว่า “การย่อย ” การย่อยอาหาร หมายถึง การทาให้สารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนกระทั่งแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้
การย่อยอาหารในร่างกายมี 2 วิธี คือ 1. การย่อยเชิงกล คือการบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลทาให้สารอาหารมีขนาดเล็กลง
2. การย่อยเชิงเคมี คือการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารโดยใช้เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องทาให้โมเลกุลของสารอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง
ที่มาของภาพ http://www.bknowledge.org/home/blog/bshow/srch/1/blid/6
1. อวัยวะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร
1.1 ตับ มีหน้ามี่สร้างน้าดีส่งไปเก็บที่ถุงน้าดี
1.2 ตับอ่อน มีหน้าที่สร้างเอนไซม์ส่งไปย่อยอาหารที่ลาไส้เล็ก
1.3 ลาไส้เล็ก สร้างเอนไซม์มอลเทส ซูเครส และแล็คเทสย่อยอาหารที่ลาไส้เล็ก
:: เอนไซม์(Enzyme)
:: เป็นสารประกอบประเภทโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทาหน้าที่เร่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย
เอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยสารอาหารเรียกว่า “ น้าย่อย ”เอนไซม์มีสมบัติที่สาคัญ ดังนี้
- เป็นสารประเภทโปรตีนที่สร้างขึ้นจากเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
- ช่วยเร่งปฏิกิริยาในการย่อยอาหารให้เร็วขึ้นและเมื่อเร่งปฏิกิริยาแล้วยังคงมีสภาพเดิมสามารถใช้เร่งปฏิกิริยาโมเลกุลอื่นได้อีก
- มีความจาเพาะต่อสารที่เกิดปฏิกิริยาชนิดหนึ่งๆ
- เอนไซม์จะทางานได้ดีเมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
ที่มาของภาพ http://www.bknowledge.org/home/blog/bshow/srch/1/blid/6
:: ปัจจัยที่มีผลต่อการทางานของเอนไซม์
ได้แก่ ::
1. อุณหภูมิ เอนไซม์แต่ละชนิดทางานได้ดีที่อุณหภูมิต่างกัน
แต่เอนไซม์ในร่างกายทางานได้ดี ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส
2. ความเป็นกรด
- เบส เอนไซม์บางชนิดทางานได้ดีเมื่อมีสภาพที่เป็นกรด เช่น เอนไซม์เพปซินใน
กระเพาะอาหารเอนไซม์บางอย่างทางานได้ดีในสภาพที่เป็นเบส เช่น เอนไซม์ในลาไส้เล็ก เป็นต้น
3. ความเข้ม เอนไซม์ที่มีความเข้มข้นมากจะทางานได้ดีกว่าเอนไซม์ที่มีความเข้มข้นน้อย
การทางานของเอนไซม์
จำแนกได้ดังนี้
1. เอนไซม์ในน้าลาย
ทางานได้ดีในสภาวะเป็นเบสเล็กน้อยเป็นกลางหรือกรดเล็กน้อยจะขึ้นอยู่กับชนิดของน้าตาลและที่อุณหภูมิปกติของร่างกายประมาณ
37 องศาเซลเซียส
2. เอนไซม์ในกระเพาะอาหาร
ทางานได้ดีในสภาวะเป็นกรดและที่อุณหภูมิปกติของร่างกาย
3. เอนไซม์ในลาไส้เล็ก
ทางานได้ดีในสภาวะเป็นเบสและอุณภูมิปกติร่างกาย
สารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่จะถูกย่อยให้มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด
ดังนี้
:: 2. อวัยวะที่เป็นทางเดินอาหาร
::
ทำหน้าที่ในการรับและส่งอาหารโดยเริ่มจาก
ที่มาของภาพ http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson1.php
เมื่อรับประทานอาหารอาหารจะเคลื่อนที่ผ่านอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารเพื่อเกิดการย่อยตามลาดับดังต่อไปนี้
2.1 ปาก (
mouth) มีการย่อยเชิงกล โดยการบดเคี้ยวของฟัน และมีการย่อยทางเคมีโดยเอนไซม์อะไมเลสหรือไทยาลีน
ซึ่งทางานได้ดีในสภาพที่เป็นเบสเล็กน้อย
ที่มาของภาพ http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=69525
ต่อมน้าลายมี 3 คู่ ได้แก่ ต่อมน้าลายใต้ลิ้น 1 คู่ ต่อมน้าลายใต้ขากรรไกรล่าง
1 คู่ ต่อมน้าลายใต้กกหู 1 คู่ ต่อมน้าลายจะผลิตน้าลายได้วันละ
1 – 1.5 ลิตร
2.2 คอหอย (pharynx) เป็นทางผ่านของอาหาร ซึ่งไม่มีการย่อยใดๆ
ทั้งสิ้น
2.3 หลอดอาหาร(esophagus) มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อเรียบมีการย่อยเชิงกลโดยการบีบตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร
เป็นช่วงๆ เรียกว่า “เพอริสตัสซิส (peristalsis)” เพื่อให้อาหารเคลื่อนที่ลงสู่กระเพาะอาหาร
ที่มาของภาพ http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.asp?ID=1485550
2.4
กระเพาะอาหาร(stomach) มีการย่อยเชิงกลโดยการบีบตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหารและมีการย่อยทางเคมีโดยเอนไซม์เพปซิน
(pepsin) ซึ่งจะทางานได้ดีในสภาพที่เป็นกรด โดยชั้นในสุดของกระเพาะจะมีต่อมสร้างน้าย่อยซึ่งมีเอนไซม์เพปซินและกรดไฮโดรคลอริก
เป็นส่วนประกอบเอนไซม์เพปซินจะย่อยโปรตีนให้เป็นเพปไทด์ (peptide)ในกระเพาะอาหารนี้ยังมีเอนไซม์อยู่อีกชนิดหนึ่งชื่อว่า “ เรนนิน '' ทาหน้าที่ย่อยโปรตีนในน้านม ในขณะที่ไม่มีอาหาร
กระเพาะอาหารจะมีขนาด 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อมีอาหารจะมีการขยายได้อีก
10 – 40 เท่า
เพปซิน
สรุป การย่อยที่กระเพาะอาหารจะมีการย่อยโปรตีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ที่มาของภาพ http://www.bknowledge.org/home/blog/bshow/srch/1/blid/6
2.5 ลำไส้เล็ก
(small intestine) เป็นบริเวณที่มีการย่อยและการดูดซึมมากที่สุด โดยเอนไซม์ในลาไส้เล็กจะทางานได้ดีในสภาพที่เป็นเบส
ซึ่งเอนไซม์ที่ลาไส้เล็กสร้างขึ้น ได้แก่
1. มอลเทส
(maltase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้าตาลมอลโทสให้เป็นกลูโคส
2. ซูเครส
(sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลทรายหรือน้าตาลซูโครส
(sucrose) ให้เป็นกลูโคสกับฟรักโทส (fructose)
3. แล็กเทส
(lactase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลแล็กโทส (lactose) ให้เป็นกลูโคสกับกาแล็กโทส (galactose)
การย่อยอาหารที่ลาไส้เล็กใช้เอนไซม์จากตับอ่อน (pancreas) มาช่วยย่อย เช่น
o ทริปซิน (trypsin) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนโปรตีนหรือเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน
o อะไมเลส (amylase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยแป้งให้เป็นน้าตาลมอลโทส
o ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล
ที่มาของภาพ http://www.bknowledge.org/home/blog/bshow/srch/1/blid/6
:: น้ำดี
(bile) ::
เป็นสารที่ผลิตมาจากตับ (liver) แล้วไปเก็บไว้ที่ถุงน้าดี (gall bladder) น้าดีไม่ใช่เอนไซม์เพราะไม่ใช่สารประกอบประเภทโปรตีน
น้าดีจะทาหน้าที่ย่อยโมเลกุลของโปรตีนให้เล็กลงแล้วน้าย่อยจากตับอ่อนจะย่อยต่อทาให้ได้อนุภาคที่เล็กที่สุดที่สามารถแพร่เข้าสู่เซลล์
ที่มาของภาพ http://www.bknowledge.org/home/blog/bshow/srch/1/blid/6
สรุป
การย่อยสารอาหารประเภทต่างๆในลำไส้เล็ก
คาร์โบไฮเดรต
แป้ง
|
อะไมเลส
|
มอลโทส
|
มอลโทส
|
มอลเทส
|
กลูโคส + กลูโคส
|
ซูโครส
|
ซูเครส
|
กลูโคส + ฟรักโทส
|
แล็กโทส
|
ทริปซิน
|
กลูโคส + กาแล็กโทส
|
โปรตีน
เพปไทต์
|
ทริปซิน
|
กรดอะมิโน
|
|
ไขมัน
|
|||
ย่อยโมเลกุลของไขมันขนาดเล็ก
|
ไลเพส
|
กรดไขมัน + กลีเซอรอล
|
|
ตำแหน่ง
|
สารที่ย่อย
|
น้ำย่อย
|
สารที่ได้
|
|
ปาก
|
แป้ง
|
ไทยาลิน
(อะไมเลส)
|
เดกซ์ทริน
|
|
กระเพาะ
|
โปรตีน
|
เปปซิน
|
กรดอะมิโน
|
|
ลำไส้เล็ก
|
แป้ง
ไขมัน
โปรตีน
พอลิเปปไทด์
เปปไทด์
|
Amylase
Lipase
Trypsin
Chymotrypasin
Carboxypeptidase
|
สร้างจาก
ตับอ่อน
|
มอสโทส
กรดไขมัน+กลีเซอรอล
เปปไทด์
, กรดอะมิโน
เปปไทด์
, กรดอะมิโน
กรดอะมิโน
|
แป้ง
น้ำตาลโมเลกุลคู่
เปปไทด์
|
Amylase
Disaccharase
peptidase
|
สร้างจาก
ผนังลำไส้เล็ก
|
มอสโทส
น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว
กรดอะมิโน
|
|
อาหารเมื่อถูกย่อยเป็นโมเลกุลเล็กที่สุดแล้ว
จะถูกดูดซึมที่ลาไส้เล็ก โดยโครงสร้างที่เรียกว่า “ วิลลัส
( villus)” ซึ่งมีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นออกมาจากผนังลาไส้เล็ก ทาหน้าที่เพิ่มเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร
2.6
ลาไส้ใหญ่ (large intestine ) ที่ลาไส้ใหญ่ไม่มีการย่อย
แต่ทาหน้าที่เก็บกากอาหารและดูดซึมน้าออกจากกากอาหาร ดังนั้น ถ้าไม่ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันจะทาให้เกิดอาการท้องผูก
ถ้าเป็นบ่อยๆจะทาให้เกิด โรคริดสีดวงทวาร
ที่มาของภาพ http://203.172.208.67/damrong2010/thai/kruranu/lesson11.html






.jpg)




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น